“ซันนี่ เกวลิน” (SUNNEE) ตื่นเต้นจัดแฟนคอนที่ไทย เผยเส้นทางศิลปินและบทพิสูจน์ที่แลกด้…

“แบมแบม” ประกาศเวิลด์ทัวร์เดี่ยวแรกในชีวิต เตรียมเซอร์ไพรส์ “อากาเซไทย”

“ซันนี่ เกวลิน” คนไทยหนึ่งเดียว ประกบ “แจ็คสัน หวัง” ร่วมร้องเพลง “เอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 19”

ในที่สุดก็สมหวัง! “ซันนี่-เกวลิน บุญศรัทธา” หรือ SUNNEE ไอดอลจีนสัญชาติไทย อดีตสมาชิก Rocket Girls 101 ที่ไปโด่งดังที่แดนมังกรมานานหลายปี แต่สิ่งนึงที่เจ้าตัวรอคอยคือการได้มาจัดคอนเสิร์ตในบ้านเกิดของตัวเอง

นั่นจึงทำให้งาน “SUNNEE First Fan Concert’ Surprise On The Road In Bangkok 2023” ซึ่งจะเปิดการแสดงวันเสาร์ 15 กรกฎาคมนี้ ณ โรงละครเคแบงก์ สยามพิฆเนศ ได้รับฟีดแบคดีบัตรขายหมดทุกที่นั่ง

โดยก่อนที่จะถึงวันพิเศษของเธอ “ซันนี่” ได้มาพูดคุยกับ “พีพีทีวี” บอกเล่าเรื่องราวความฝันที่ไปถึง “วันสำเร็จ” ที่เป็น “ความภูมิใจ” แต่ตลอดระยะทางที่เดินนั้นเจอกับบทพิสูจน์ที่มีทั้งน้ำตาและรอยยิ้ม แต่ไม่ว่ายังไง “ซันนี่” คนนี้ก็ยังจะไปต่อ!

เริ่มพูดคุยกันถึงความพิเศษของแฟนคอนเสิร์ตที่กำลังจะเกิดขึ้น?

 “ซันนี่ เกวลิน” (SUNNEE) ตื่นเต้นจัดแฟนคอนที่ไทย เผยเส้นทางศิลปินและบทพิสูจน์ที่แลกด้...

“ความพิเศษก็จะได้ใกล้ชิดกับแฟนๆ มากขึ้น แล้วก็ยังมีอีกหลายเพลงที่อยากร้องให้ทุกคนฟัง อยากให้ทุกคนมาเอ็นจอยกัน คอนเสิร์ตครั้งนี้พยายามมากค่ะ เริ่มคุย เริ่มทำกันตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ จนวันนี้สำเร็จแล้ว หนูเตรียมใบหน้าอันสดใสและเสียงอันทรงพลัง และเตรียมผู้ชายในฝันไว้เป็นแขกรับเชิญค่ะ (หัวเราะ) หนูเองก็ตื่นเต้นที่จะได้เจอเขา ตอนที่เชิญไปก็ไม่คิดว่าเขาจะตอบรับ เพราะเขางานเยอะก็คิดว่าเขาคงไม่มาหรอก แต่เขาก็มาให้จริงๆ หนูชื่นชอบผลงานเขา ติดตามมานานแล้วค่ะ”

สิ่งแรกที่ทำหลังกลับมาบ้านในรอบ 3 ปี?

“ปีนี้กลับมาหลายครั้งเลยค่ะ สิ่งแรกที่ทำคือนอนกอดคุณพ่อคุณแม่ค่ะ แล้วก็ทานอาหารทั้งหมดที่สามารถทานได้ ณ เวลานั้น เมนูแรกเลยคือ ‘ข้าวเหนียวหมูปิ้ง’ เพราะว่าที่จีนไม่มี อย่างส้มตำร้านอาหารไทยที่จีนก็ยังมีอยู่ แต่ว่าข้าวเหนียวหมูปิ้งรสชาติมันไม่ได้เหมือนเมืองไทย สุดท้ายแล้วเมืองไทยคือที่สุดค่ะ (ยิ้ม)”

กลับมาเมืองไทยมีวางแผนงานในอนาคตไว้ยังไงบ้าง?

“จริงๆ ตอนนี้ไม่ได้วางแผนนานมากค่ะ อยากจะทำคอนเสิร์ตให้จบก่อน แต่แพลนไว้อยู่ว่าในอนาคตอยากจะมีเพลงไทย อยากจะร้องเพลงไทย และมีโอกาสได้กลับมาเมืองไทยเยอะๆ ได้กลับมาทำงานที่เมืองไทยบ่อยๆ ถามว่ามีความกังวลไหมเหรอคะ จริงๆ ไม่ได้ซีเรียสตรงนี้ค่ะ ไม่ว่าหนูจะอยู่เมืองไทยหรือว่าอยู่เมืองจีน มันเป็นการเริ่มต้นใหม่สำหรับหนู เพราะจริงๆ หนูห่างจากวงการไปประมาณปีนึง ด้วยเรื่องสถานการณ์โควิดด้วย เรื่องการงานของหนูด้วยที่ค่อนข้างมีปัญหาในช่วงนั้น ก็หายไปเหมือนกันค่ะ”

ระหว่างที่หายไปมีความกังวลไหม เรื่องชื่อเสียงที่เราสร้างมา?

“แรกๆ ก็กังวลค่ะ แต่พอกลับมาเมืองไทยก็รู้สึกว่าอย่าไปยึดติดกับสิ่งพวกนี้มาก เพราะถ้ายึดติดมากตัวหนูเองก็จะไม่มีความสุข พอกลับมาเมืองไทยตอนนั้นก็คิดไว้ว่าถ้าไม่มีงานก็หยุดเลยแล้วกัน หาสิ่งอื่นๆ ทำก็ได้ แต่เมื่อมีโอกาสรู้จักกับพี่ๆ (ทีมดูแลในไทย) เขาพยายามให้ความมั่นใจกับหนูว่าจริงๆ แล้วเราก็ยังทำได้อยู่นะ อย่าเพิ่งท้อ อย่าเพิ่งเปลี่ยน ก็เลยเริ่มสู้ใหม่อีกรอบนึง ถ้าย้อนกลับไปในช่วงนั้นที่คิดว่าพอไหม เพราะจริงๆ แล้วหนูเข้าวงการ หนูมีความฝันว่าอยากมีเพลงเป็นของตัวเอง อยากมีคอนเสิร์ตเป็นของตัวเอง อยากมีอัลบั้มเป็นของตัวเอง และใน 12 ปีที่ผ่านมาหนูทำสำเร็จแล้ว 3 อย่าง

มีคอนเสิร์ตเป็นของตัวเองแล้วที่เมืองจีน มีเพลงเป็นของตัวเองแล้ว มีอัลบั้มเป็นของตัวเองแล้ว ทำให้รู้สึกว่าตอนนั้นหนูไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อเพื่อที่จะได้ต่อยอด หรือว่าเราอยากทำอะไรจริงๆแล้ว เหมือนช่วงนั้นอยู่ในช่วงที่สภาวะไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร แต่พอมีโอกาสได้เจอกับพี่ๆ เพื่อนใหม่ๆ ทุกคนให้คำแนะนำได้กลับมามีพลังบวกเยอะขึ้นมากๆ จนหนูรู้สึกว่าเรายังชอบสิ่งนี้อยู่ เราไม่ได้ไม่รักในสิ่งนี้แล้ว แต่เหมือนโลกภายนอกหรือโลกที่เราเจออยู่ในตอนนั้นมันทำให้เราไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเราชอบอะไรแค่นั้นเอง”

(ภาพจาก IG : nee_kewalin)

เกี่ยวกับความกดดัน การแข่งขัน?

“การแข่งขันสูง ความกดดัน ส่วนใหญ่ความกดดันมันมาจากตัวหนูเองมากกว่า เพราะว่าตอนนั้นหนูลืมไปแล้วว่าหนูต้องการอะไร รู้อยู่แต่ว่าเราต้องทำงาน ไม่ทำงานเราก็จะหายไป รู้อยู่อย่างเดียวว่าเราชอบร้องเพลง ไม่รู้ว่าตัวเองอยากเป็นนักร้องแบบไหน เพราะว่าตอนที่มีกระแสเราวิ่งอย่างเดียว ต้องทำงาน เราต้องออกมา ต้องให้ทุกคนจำได้ ให้เห็นหน้าเราบ่อยๆ ต้องทำงาน ไม่มีงานแล้วทำยังไง ต้องหางาน คิดอยู่แค่นั้น”

ตอนนั้นเราก็ได้รับความนิยมระดับนึงแล้ว?

“ใช่ค่ะ เราวิ่งตามความฝันมาถ้าไม่นับปีนี้ก็ 11 ปีแล้ว ในระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมาหนูเพิ่งมามีชื่อเสียง 3-4 ปีที่แล้ว ที่ประกวดโปรดิวซ์ฯ การที่จะมายืนจุดนี้ได้มันไม่ง่าย มันอาจะเป็นเรื่องของโชคชะตาทำให้มีชื่อเสียง มีกระแส คือเราพยายามมานานแล้ว อยากจะอยู่ตรงนี้ให้ได้นานหน่อย แต่หนูก็รู้อยู่แล้วว่าการเป็นศิลปินเราไม่สามารถยืนในจุดสูงสุดได้นานขนาดนั้น หนูแค่หวังว่าให้มันค่อยๆ ลง ให้ความหวังตัวเองไว้แบบนี้ แต่ว่าในโลกความเป็นจริงหรือว่าในสังคมที่เป็นอยู่ มันไม่สามารถทำให้หนูค่อยๆ ลดลงได้ ถ้าไม่พยายามต่อไปมันจะวูบลงมาเลย เพราะการแข่งขันสูงด้วย

แต่ดีว่าหนูมีทีมงานที่เมืองจีน แล้วจะมีน้องคนนึงที่คอยซัพพอร์ตหนูอยู่เสมอจะคุยกับเขาบ่อยในเรื่องชีวิตกิจวัตรประจำวัน เรื่องความคิด เขาจะให้คำแนะนำที่ดี ตอนนั้นเขาเป็นคนเดียวที่เป็นพลังบวกของหนู เขาอยู่ข้างๆ หนูทุกวัน มีแค่เขาคนนี้ที่จะคอยอยู่ข้างๆ แล้วคอยแชร์ความรู้สึกกันและกัน ส่วนหนูไม่สามารถที่จะให้พลังบวกกับตัวเองได้ เพราะว่าเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองตรงนั้นก็ไม่ดี ตรงนี้ก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่โอเค ส่วนใหญ่หนูจะได้รับพลังงานดีๆ จากคนรอบข้างมากกว่า แต่หนูไม่สามารถที่จะปรับตัวเองได้ด้วยตัวเอง” หนูเป็นคนคิดบวกอยู่แล้ว แต่ว่าในช่วงระยะเวลาทำงานหนูไม่สามารถที่จะไปฮีลตัวเองได้ในเวลาที่มีปัญหา มันก็เลยกลายเป็นว่าพอเราเอาพลังบวกออกให้ทุกคนเยอะๆ พลังตังเองหมดก็ไม่สามารถเติมเองได้ อาจจะต้องมีตัวช่วยจากครอบครัว จากคนรอบตัว”

(ภาพจาก IG : nee_kewalin)คำพูดจาก เว็บสล็อตเว็บตรง

เกิดคำถามในใจว่าไม่อยากไปต่อ?

“จริงๆ ปีที่แล้วงานชส่วนใหญ่ดีลเสร็จแล้ว คุยกันเรียบร้อยแล้ว แต่อยู่ๆ วันรุ่งขึ้นโดนเปลี่ยนตัว ปีที่แล้วเจอเรื่องแบบนี้บ่อย แล้วก็ในเรื่องของคอนเสิร์ต ก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับหนู ตอนนั้นหนูทัวร์อยู่ที่เมืองจีนแล้วเหมือนปีที่แล้วโควิดก็ค่อนข้างหนัก คอนเสิร์ตอาจจะต้องเลื่อน อาจจะต้องยกเลิก หรือไม่ก็คอนเสิร์ตที่เปิดแฟนคลับไม่สามารถมาดูได้ เราอยากจะให้ทุกคนที่ชื่นชอบเสียงเพลงของเราได้มาดูคอนเสิร์ต แต่กลับกลายเป็นว่ามันเป็นเรื่องหนักของเขาอีก ก็เลยจะรู้สึกเฟลว่าสิ่งที่คิดไว้มันไม่สามารถสำเร็จได้ หรือไม่ก็งานที่คุยกันไว้แล้วอาจจะมีปัญหา จนทำให้หนูสงสัยตัวเองว่าปีชงหรือเปล่า แต่ว่าหลังๆ ปัญหามันก็ยังอยู่ มันยิ่งอยู่ยิ่งหนัก จริงๆ การเข้าร่วมรายการแข่งขัน ทำให้มีภูมิคุ้ม แต่ว่าเวลาเจอเรื่องมันก็ยังคงไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้เร็วขนาดนั้น ต้องใช้เวลา”

รายการเป็นโลกแห่งการแข่งขัน พอมาโลกความเป็นจริงมันคนละแบบ?

“อีกแบบนึงค่ะ เหมือนว่าตอนที่อยู่ในการแข่งขันมันอยู่แค่โซนนี้ พอได้เดบิวต์เป็นเกิร์ลกรุ๊ปก็ยังอยู่ในเซฟโซนที่เขาวางไว้ให้และคอยจัดการดูแล แต่พอเราออกมาเป็นโซโล่เดี่ยวต้องสู้เอง ไม่มีเซฟโซน ไม่มีคนคอยช่วยเหลือหรือช่วยหนุน ตอนที่ในเกิร์ลกรุ๊ปเวลางานมีปัญหายังมีเพื่อนที่ซัพพอร์ต เพราะเจอเรื่องเดียวกัน สามารถแชร์ความรู้สึกได้ แต่พอออกมาทำจริงๆ เหมือนออกจากบ้าน ออกจากโรงเรียน มาในโลกความเป็นจริงที่ต้องดูแลตัวเอง ต้องฮีลตัวเองเป็น ต้องรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร จริงๆ หนูว่าบางครั้งการทำงานไม่ใช่แค่เฉพาะศิลปิน หนูว่าคนทำงานทั่วไปทุกวันที่ทำงานเขาอาจจะสงสัยในตัวเองว่าทำอะไรอยู่ ทำไมเราต้องทำ ทำแล้วได้อะไร เราต้องการอะไรกันแน่ หนูว่าเป็นทุกคนไม่ใช่แค่ตัวหนูเอง

และหนูว่าอาจจะเป็นด้วยนิสัยของหนูที่ไม่ชอบการแข่งขัน ทุกๆ อย่างเป็นไปด้วยธรรมชาติ หนูมองโลกแบบนี้นะ แต่พอได้เข้าสังคมจริงๆ แล้ว มันไม่ใช่ว่าวันนี้คุณเก่งแล้วจะชนะ ไม่ใช่ว่าวันนี้คุณดีแล้วจะชนะ ยังมีหลายเรื่องที่ต้องคิด ต้องทำ อยู่ตัวของเราเองก็เหนื่อยพอแล้ว ยังต้องไปแข่งขันกับคนอื่น คือมีงานก็ทำเต็มที่ มีคอนเสิร์ตก็ร้องให้เต็มที่ ให้คนที่มาดูเรามีความสุข ทำงานเรียลริตี้โชว์ ให้คนที่ได้ดูรายการรู้สึกว่าซันนี่เป็นคนสนุก ดูแล้วขำ เด็กคนนี้บ้าบอ อยากเป็นแบบนี้มากกว่า แต่คือในชีวิตความเป็นจริงมันยังมีอะไรอีกเยอะ ในเรื่องของการดีล การทำความรู้จัก การเข้าสังคม หนูว่าหนูเข้าสังคมไม่ค่อยเป็นด้วย หนูก็ไม่ปรับอะไร หนูเปิดใจและก็ยอมรับความเป็นจริงที่เป็นอยู่ หนูโตมาด้วยลักษณะแบบนี้ ถึงจะล้ม อาจจะโดนรังแก อาจจะมีคนทำร้าย แต่ว่าหนูไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ อันนี้มันเป็นพื้นฐานนิสัยของหนูเองอยู่แล้ว”

ผลงานอย่างเดียวไม่เพียงพอกับการเป็นซัมวัน?

“หนูว่าเป็นแบบนี้ทุกที่ ผลงานมันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดอยู่แล้ว แต่ว่าการอยู่ในสังคมยังไงอันนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญเหมือนกัน ไม่ใช่แค่เฉพาะในวงการที่โน่น แต่หนูว่าทุกวงการทั่วโลกก็เป็นอย่างนี้หมด ยอมรับว่ามีเสียน้ำตาค่ะ ปีที่แล้วเป็นอย่างนี้บ่อยค่ะ บ่อยจนหนูคิดว่าหนูไม่สามารถทำงานต่อไปได้แล้วเลยกลับมาพัก กลับมาชาร์ตแบตที่บ้าน รู้สึกแย่ทั้งปี คือยังทำงานได้นะ ให้ความสนุกสนานกับแฟนๆ ที่ชื่นชอบในตัวเราได้ แต่ว่าพอกลับมาอยู่กับตัวเอง หาความสุขให้ตัวเองไม่ได้ ไม่สามารถฮีลตัวเองได้ด้วยไงคะ แล้วคนที่อยู่ข้างๆ อย่างทีมงานที่หนูพูดถึง น้องคนนี้เขาก็เหมือนว่าให้หนูเยอะจนไม่รู้จะให้ยังไงแล้ว เขารู้สึกว่าเขาไม่สามารถฮีลหนูได้แล้ว และเราเองก็รู้สึกว่าเขาไม่สามารถฮีลเราได้แล้ว ถ้าเขาฮีลเราต่อไป หนูก็อาจจะต้องฮีลเขาด้วย ก็ไม่มีทางที่จะฮีลเขาได้เหมือนกัน ก็เลยกลับบ้านดีกว่า”

กลับมาก็เจอคุณพ่อคุณแม่ เห็นหน้าท่านก็ร้องไห้ ร้องเพราะดีใจที่ได้เจอพวกเขาและอยากจะบอกเขามากว่า 3 ปีที่ผ่านมาหนูเจออะไรมาบ้าง ที่ผ่านมาไม่เคยบอก แต่คุณพ่อจตะติดตามหนูมาก เวลาแฟนคลับพูดอะไรคุณพ่อก็จะเห็น จะเป็นห่วง แต่ทุกครั้งที่คุณพ่อเป็นห่วงหนูก็จะบอกเสมอว่าไม่มีอะไร คือหนูตอบคุณพ่อได้ คุณแม่ได้ แต่ตอบตัวเองไม่ได้ในตอนนั้น พอกลับมาคุณพ่อคุณแม่ก็รู้ค่ะว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในชีวิตหนูที่อยู่ตรงนั้น ก็เลยอยู่ยาวประมาณ 3-4 เดือน ซึ่งช่วยได้เยอะมาก มีอยู่วันนึงที่นั่งคุยกัน คุณพ่อคุณแม่บอกว่าเขาไม่ได้ต้องการให้หนูเป็นคนเก่ง ไม่ได้ต้องการให้หนูหาเงินได้เยอะ ขอแค่ให้หนูมีความสุขกับการทำงาน มีความสุขกับการใช้ชีวิต ถ้าอยู่ตรงโน้นแล้วไม่มีความสุขก็กลับมา ไม่อยากทำงานก็หยุดไป เดี๋ยวพวกท่านจะดูแลหนูเอง พอคุณพ่อคุณแม่พูดคำนี้ ก็ทำให้เรารู้สึกว่าในช่วงเวลาทำงานเราคิดเผื่อพวกท่าน แต่ตัวพวกเขาเองก็คิดถึงหนูเสมอเช่นกัน

เพราะครั้งนี้ที่กลับมาหนูทั้งผอม ทั้งโทรม คุณพ่อหนูจะเป็นคนที่ชอบว่า ‘ต้องสู้ ไปให้สุด’ แต่ครั้งนี้คุณพ่อบอกว่าไม่ต้องไปแล้ว ทำอย่างอื่นก็ได้ อยากทำอะไรเราลองไปเรียนรู้กัน เหมือนครั้งนี้ที่กลับมาสภาพร่างกายและจิตใจมันเปลี่ยนไปมาก คุณพ่อคุณแม่ก็ฮีลหนูเต็มที่เหมือนกัน”

(ภาพจาก IG : nee_kewalin)

หลังจากที่ได้ชาร์ตแบตแล้ว ได้ฮีลใจแล้ว เราถามตัวเองไหมว่าเราจะทำอะไรต่อ?

“ตอนนั้นคิดไม่ออก ประมาณ 2-3 อาทิตย์ก็ใช้ชีวิตวนลูปอยู่ที่บ้าน แต่หลังจากนั้นก็มาคิดว่าหนูไม่ชอบมีชีวิตแบบนี้ ไม่ชอบมากเลยเวลาตื่นมาไม่มีอะไรทำ ถามว่าชอบความสบายไหมก็ชอบ แต่รู้สึกว่าถ้านอนต่อไปมันจำเจ มันไม่เหมือนในรายการที่เรารู้ว่าพรุ่งนี้จะมีงาน ต้องนอนให้เต็มที่ แต่ว่าระยะเวลาที่กลับมาช่วง 2-3 อาทิตย์นั้นก็นอนจริงๆ นอนเยอะที่สุด 18 ชั่วโมง พอได้คำตอบว่าไม่ไหวแล้ว เลยบอกคุณพ่อว่าจะลองทำงานที่ไทยดู พ่อก็หาเพื่อนที่ทำงานในวงการให้ ก็มีลูกของเพื่อนพ่อพาแฟนเขาที่เคยทำงานในวงการมาหา แล้วก็ฝากหนูให้กับพี่ๆ (ทีมในไทย) หนูก็คิดว่าหนูจะรอดไหม เพราะช่วงที่กลับมาเป็นช่วงที่หนูแย่ที่สุด ไม่รู้ว่าพี่ๆ เขาจะโอเคกับหนูไหม ถ้าหนูกลับมาในช่วงที่มีกระแสในเมืองจีนหนูว่ามันไม่ยาก เพราะกระแสยังอยู่ ยังมีงานให้ทุกคนเห็นหน้าได้ มันไม่ได้ยาก แต่ตอนนี้มันยาก เหมือนต้องสตาร์ทใหม่ พี่ๆ เขาก็พยายามที่จะบอกกับหนูว่าชีวิตมันเป็นเรื่องสนุก ความเครียดมันเป็นเรื่องสนุก ก็สนุกไปกับชีวิต ก็มีงานเรื่อยๆ หนูได้พลังบวกจากพี่ๆ ได้พลังบวกจากครอบครัว หนูรู้สึกว่าโอเค ขอกลับไปสู้อีกรอบนึง ตอนนี้หนูค่อนข้างที่จะเปลี่ยนมุมมองได้แล้ว เมื่อก่อนรู้ความเป็นจริงแต่ยอมรับไม่ค่อยได้ แต่ตอนนี้รู้ว่าความเป็นจริงมันเป็นอย่างนี้ ก็สามารถรับได้แล้วในระดับนึง ถ้าถามหนูว่าคุ้มค่าไหมกว่าจะเป็น “ซันนี่” ในวันนี้ คุ้มค่าค่ะ หนูดีใจและภูมิใจ หนูว่าหนูเป็นคนโชคดีคนนึง (ยิ้ม)”

(ภาพจาก IG : nee_kewalin)

ตอนไปแข่งรายการ Produce 101 China ก็เป็นการสู้อีกครั้งนึงและเดิมพันว่าจะเป็นการสู้สุดท้าย?

“ใช่ค่ะ ตอนนั้นคือจะกลับบ้านแล้วค่ะ แต่มีประกวดรายการโปรดิวซ์ฯ พอดี ก็เลยคุยกับคุณพ่อว่าขอแข่งก่อนนะ แข่งเสร็จก็กลับบ้าน เป็นการเดิมครั้งสุดท้ายของหนู เข้าไปหนูก็ไม่ซีเรียส ไม่ได้อยากจะชนะหรืออยากจะดัง หรืออยากจะมีกระแส อยากจะได้ที่ 1 หนูไม่มีความคิดแบบนี้เลย วันที่ไปแข่งหนูมีความรู้สึกว่าอยากได้ทำ ได้อยู่บนเวทีอีกครั้ง ตอนนั้นหนูคิดไว้ว่าเวทีนี้เป็นเวทีใหญ่ ขอให้ได้รับพลังจากเวทีใหญ่อีกรอบนึง รับพลังเสร็จแล้วหนูอาจจะกลับมาแล้วไปร้องเพลงตามบาร์ก็ได้ ทำให้ทุกคนมีความสุขได้เหมือนกันหรือไม่ก็เรียนต่อที่ไทย เราก็ปล่อยจอย กับเรื่องลุคของเราถูกพูดถึงตอนแรกๆ หนูไม่ได้ซีเรียส ตอนแข่งรายการเราไม่ค่อยมีโอกาสได้ดูโทรศัพท์ เพราะเราซ้อมทั้งวัน ถ่ายรายการทั้งวัน จนวันนึงหนูถูกเรียกตัวไปคุยว่าให้อยู่ห่างๆ จากเพื่อนๆ หน่อย หนูถึงรู้ว่า อ๋อ มันมีเรื่องนี้เกิดขึ้น ถ้าทำแบบนี้ต่อไปไม่สามารถแข่งขันได้แล้วนะ คือหนูไม่เคยคิดว่าตัวเองจะโดนบูลลี่ ก็โดนด่าแรงเหมือนกัน หนูจำไม่ได้ว่าโดนอะไร ตอนนั้นก็แย่ค่ะ หลังจากนั้นก็เก็บตัว ถ้าได้ติดตามรายการก็จะเห็นว่าหนูเริ่มหายไป ไม่ค่อยอยู่หน้ากล้องตั้งแต่อีพี 3 เพราะกลัวว่าจะเป็นประเด็นอีก ไม่กล้าสดใส ก็เบาลงเยอะ แต่พอได้เดบิวต์แล้วก็ทำให้รู้สึกว่าจริงๆ แล้ว เราก็ยังมีคนชอบเยอะอยู่นะ ทุกคนก็อาจจะชอบหนูในแบบนี้ ถึงกล้าออกมาหน้ากล้อง

วันที่ได้เดบิวต์ที่หนูร้องไห้ เพราะหนูคิดไว้แล้วว่าหนูจะไม่ได้เดบิวต์ ทำใจไว้แล้วว่าแข่งเสร็จจะกลับบ้าน กลับไปหางานทำที่เมืองไทย แต่ตอนนั้นโดนเรียกชื่อคนแรกก็ร้องไห้เลย แต่พอตอนที่นั่งรอประกาศคนต่อๆ ไป ตกผลึกได้ว่าคนรักเราเยอะนะ ไม่อย่างนั้นเราไม่ได้เดบิวต์หรอก ก็เลยทำให้ความคิดเปลี่ยน ในช่วงเวลาการแข่งขันเราไม่สามารถรู้ได้ว่าเรามีคนชื่นชอบเยอะแค่ไหน แต่พอได้ออกมา ได้ไปรายการ เปิดคอนเสิร์ต แฟนคลับจะเยอะมาก ทำให้รู้สึกว่าเราเป็นตัวของเราแบบนี้ก็มีคนชื่นชอบเรานะ อย่าไปดูแค่คนที่เกลียดเรา ดูแค่คนที่รักเราดีกว่า เราก็ไม่ได้แย่นะ เก็เก่งนะ ทุกคนก็ชอบเราได้นะในมุมแบบนี้ ก็เลยกลับมาสดใส”

ถ้าให้นิยามความเป็น “ซันนี่” ที่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่อยากทำแล้ว ทุกวันนี้เป็นกำไรชีวิต แม้จะเจออุปสรรคพิสูจน์?

“หนูอยากขอบคุณคนรอบข้างและคนที่ชื่นชอบหนูมากกว่า วันนี้หนูดีขึ้นได้แล้วก็ยังเป็นซันนี่ในทุกวันนี้ได้เพราะคือคนรอบตัวที่คอยซัพพอร์ตและให้กำลังใจ และแฟนคลับที่คอยอยู่ไม่เคยหายไป อย่างปีนี้ที่หนูกลับมาฮีลตัวเองได้อีกอย่างนึงคือ หนูได้ยินแฟนคลับพูดคำๆ นึง หลังหนูบอกว่า ‘ขอโทษที่หายไปตั้งนาน’ พวกเขาก็บอกหนูว่า ‘ไม่เป็นไร ฉันรอเธอ 5 ปียังรอได้เลย ไม่เป็นไรเธอหายไปฉันก็ยังอยู่’

ได้ยินคำพวกนี้ก็ทำให้หนูรู้สึกว่าถึงแม้เราอาจจะเสียเซลฟ์ในช่วงระยะเวลานั้น เราไม่ชอบตัวเองในระยะเวลานั้น แต่ก็ยังมีคนกลุ่มนึงที่ยังชอบเราในตอนนั้นอยู่ เลยรู้สึกว่าไม่ได้แล้ว เราต้องกลับมาฮึดสู้อีกครั้งนึง และแฟนคอนที่กำลังจะจัดที่เมืองไทย ก็เป็นอีกสิ่งนึงที่หนูอยากจะตอบแทนความรัก ตอบแทนแรงสนับสนุนที่ทุกคนมีให้มาตลอด และอย่างที่บอกค่ะเป็นความฝันของหนูที่อยากจะจัดคอนเสิร์ตบ้านเกิดของตัวเองค่ะ แล้วเจอกันนะคะ”

By admin

Related Post